top of page
Home

WordPress คืออะไร

WordPress ประกอบด้วยอะไรบ้าง

WordPress Core

Themes

Plugins

ขั้นตอนในการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

WordPress เหมาะกับเว็บไซต์แบบไหน

ความแตกต่างระหว่าง WordPress.com และ WordPress.org

ค่าใช้จ่าย

Hosting

WordPress คืออะไร
WordPress คืออะไร

     WordPress คือ โปรแกรมสำเร็จรูปที่มีไว้เพื่อสร้างและจัดการเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ต ( Contents Management System หรือ CMS) กล่าวคือ แทนที่เราจะดาวโหลดโปรแกรมมาทำการสร้างและออกแบบเว็บไซต์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอย่างเช่น Macromedia Dreamwaver, Microsoft Fontpage (มีใครทันรึเปล่า) เป็นต้น แต่ CMS นั้นถูกสร้างมาเพื่อใช้งานบนอินเตอร์เน็ตโดยตรง หมายความว่าเมื่อคุณจะใช้งานโปรแกรมนี้ คุณก็สามารถใช้ได้ทันทีผ่านอินเตอร์เน็ต เพียงแค่คุณล็อกอินเข้าสู่ระบบจัดการของ CMS นั้นๆ บางคนอาจจะคุ้นหูกับ cms เจ้าอื่น เช่น  joomla, simple machines, open cart, magento เป็นต้น

WordPress ประกอบด้วยอะไรบ้าง

WordPress ประกอบด้วยอะไรบ้าง

WordPress เขียนด้วยภาษา PHP และใช้ Apache, MySQL และ PhpMyAdmin ในการรันเป็นเซิฟเวอร์ คุณสามารถลองใช้โปรแกรม DesktopServer เพื่อจำลองเซิฟเวอร์สำหรับติดตั้งและใช้งาน WordPress ได้ เพราะ WordPress นั้นจะรันอยู่บนฝั่งเซิฟเวอร์ เราจึงต้องมีเครื่องมือจำลองเซิฟเวอร์ซะก่อน

WordPress Core

WordPress Core

คือ ตัวขับเคลื่อนหลัก เปรียบเสมือนเครื่องยนต์หลักของรถทุกคัน โดยเราสามารถดาวน์โหลด WordPress เวอร์ชั่นล่าสุดได้ที่ WordPress.org และ th.wordpress.org สำหรับเวอร์ชั่นภาษาไทย

Themes

Themes

เป็นส่วนแสดงผลภายนอก แล้วยังมีฟังชั่นเสริมต่างๆ มาด้วย เปรียบเสมือนดีไซน์ของรถซึ่งแต่ละบริษัทก็จะออกแบบมาแตกต่างกัน มีฟังชั่นพิเศษต่างกัน มีทั้งธีมฟรีและธีมแบบพรีเมี่ยม เราสามารถดาวน์โหลดธีมฟรีได้จาก https://wordpress.org/themes/ ซึ่ง เป็นแหล่งรวมธีมจากนักพัฒนาทั่วโลกส่งธีมของตัวเองขึ้นไปใ้เราสามารถติดตั้ง ใช้ได้ฟรีจากหน้าควบคุมของ WordPress เลย หรือใช้ Google ในการเสริช WordPress Free Theme แล้วตามด้วยประเภทของธีมที่ต้องการ เช่น WordPress Free Fashion Theme เป็นต้น สำหรับเว็บที่ทำธีมแบบพรีเมี่ยมมาขายก็มีเยอะเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีตลาดธีมที่ใหญ่ที่สุด คือ Themeforest.net ที่มีธีมมากกว่า 6,000+ ธีม ให้เราเลือกซื้อและดาวน์โหลด ข้อแตกต่างระหว่างธีมฟรีและพรีเมี่ยมนั้น นอกจากในเรื่องของฟังชั่นเสริมแล้ว ยังมีในเรื่องของการซัพพอร์ตจากคนเขียนธีม การอัพเดต ที่ธีมแบบพรีเมี่ยมจะให้ได้มากกว่า

 

         สิ่งที่มักเข้าใจผิดกันมากที่สุดเกี่ยวกับธีมก็คือ หลายๆ คนคิดว่า เมื่อเราดาวน์โหลดธีมใดๆ มาติดตั้งแล้ว เว็บเราก็จะหน้าตาแบบนั้นเลย ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เรายังต้องมีข้อมูลและการตั้งค่าของธีมอีกหลายอย่างเพื่อให้เหมือนกับเว็บตัวอย่าง (Demo หรือ Preview) ดังนั้นหลายๆ ธีมก็มีมักจะเนื้อหาตัวอย่างสำหรับให้เราดาวน์โหลดมาติดตั้ง เพื่อศึกษาการตั้งค่าต่างๆ หรืออาจจะช่วยให้เราสามารถขึ้นเว็บได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเริ่มจาก 0 ใหม่ แต่การเริ่มจาก 0 แล้วอ่าน Document ก็ช่วยให้เราเข้าใจได้มากกว่าเช่นกัน

Plugins

Plugins

  คือ ส่วนเสริมของ WordPress ที่ช่วยเพิ่มความสามารถให้กับเว็บ เปรียบเสมือนการอัพเกรดเครื่องยนต์ให้ทำงานในแบบที่เราต้องการ หรือแม้แต่ดัดแปลงการสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น การใช้ปลั๊กอิน WooCommerce เพื่อสร้างร้านค้าขายสินค้าออนไลน์ ปลั๊กอิน Seed Social ที่ใช้แชร์บทความไปยัง Social Network ของไทยที่สามารถแชร์ไปที่ Line ได้ด้วย 

   

  ธีมพรีเมี่ยมมักจะมีฟังชั่นเสริมมากมายทำให้เราลดการติดตั้งปลั๊กอินลงไป เพราะการติดตั้งปลั๊กอินมากๆ ย่อมไม่ใช่เรื่องดี เพราะเมื่อมีการอัพเกรดในบางครั้งก็อาจจะมีการกระทบกับการทำงานกับส่วน อื่นๆ ทั้งกับธีมหรือปลั๊กอินด้วยกันเอง ทำให้ยุ่งยากในการบำรุงรักษา

ขั้นตอนในการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

ขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

  1. คิดก่อนว่าคุณจะทำเว็บไซต์อะไร

  2. หาธีมที่คุณชอบและเหมาะกับเว็บของคุณ (เป็นขั้นตอนที่ปกติจะใช้เวลานานที่สุดแล้ว แถมส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยจบที่ธีมเดียว ดังนั้นจึงควรคิดให้เยอะๆ ค่ะ)

  3. ติดตั้ง WordPress, Theme, Plugins ที่ต้องการใช้งาน

     

คุณสามารถอ่านเรื่องเกี่ยวกับ Theme WordPress ได้ที่นี่ การเลือกธีมที่ดีจะส่งผลถึงอนาคตของเว็บไซต์ ช่วยตัดเรื่องจุกจิกบางอย่าง บางธีมมีหลายฟังชั่นจนทำให้คุณไม่จำเป็นต้องลงปลั๊กอินเสริมหลายตัว หรือหากคุณต้องการทำเว็บที่เรียบง่าย ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกธีมที่มีลูกเล่นหลากหลาย แต่โฟกัสไปที่เนื้อหาแทน

WordPress เหมาะกับเว็บไซต์แบบไหน

WordPress เหมาะกับเว็บไซต์แบบไหน

จริงๆ แล้ว WordPress เหมาะกับการทำเว็บไซต์ทุกแบบ แต่บางแบบนั้นเราอาจต้องรู้ลึกซึ้งหรือมีพื้นฐานทางด้านโปรแกรมเมอร์ด้วย ดังนั้น ณ ที่นี้เราจะขอพูดในแง่ของ Beginner จริงๆ เพราะ CMS แต่ละตัวนั้นก็มีจุดเด่นแตกต่างการ เว็บเหล่านี้เป็นเว็บที่เหมาะกับการใช้งาน WordPress ค่ะ

  1. เว็บบล็อก เหมาะมากสุดๆ เป็น cms ที่บล็อกเกอร์ใช้งานมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

  2. เว็บ Article เขียนบทความต่างๆ รีวิวโรงแรม ร้านอาหาร งานฝีมือ แอปมือถือ ฯลฯ

  3. เว็บข่าว เว็บวาไรตี้ การจัดหมวดหมู่และแท็ก ( Categories, Tags ) ใน WordPress นั้นช่วยได้ง่ายมากๆ ธีม Magazine ก็เยอะสุดๆ เช่นกัน เว็บข่าวที่ไม่ใช่สำนักข่าวโดยตรงก็มักจะใช้ WordPress เพราะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า

  4. เว็บ Portfolio มีธีมเกี่ยวกับ Portfolio เยอะมากมายให้คุณนำเสนอผลงานของคุณได้อย่างน่าสนใจ

  5. เว็บบริษัท มีธีมที่ดูน่าเชื่อถือ เป็น Professional ให้เลือกมากมาย มีเครื่องมือครบครันโดยเราไม่ต้องจ้างออกแบบเพิ่ม

  6. เว็บไซต์ e-commerce ขายสินค้าออนไลน์ โดยใช้ปลั๊กอินเช่น WooCommerce หรือ Easydigitaldownloads

  7. นอกจากนี้ WordPress ยังสามารถสร้างเว็บบอร์ด และเว็บ community ได้ด้วย โดยใช้ปลั๊กอินเช่น bbPress

  8. เว็บไซต์ที่ต้องการความแรงในด้าน SEO เพราะ WP ถือว่าเด่นในเรื่องนี้มากๆ เขียนเล่นๆ ก็ติดผลการค้นหาใน Google ได้

  9. เว็บไซต์ที่มีหลายภาษา WordPress นั้นถูกแปลทั่วโลกรวมทั้ง ภาษาไทย และยังมีปลั๊กอินที่ช่วยจัดการเนื้อหาสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการใช้หลายภาษาด้วย เช่น WPMLPolylang

หากใครยังนึกไม่ออกว่า WordPress สามารถทำเว็บแบบไหนได้บ้าง ลองดู Demo หรือ Preview ของธีมแต่ละธีมดูค่ะ (แต่ถ้าของ wordpress.org พรีวิวกับภาพตัวอย่างอาจจะไม่เหมือนกัน ต้องดูที่เว็บต้นฉบับ) เราจะได้เห็นว่ามันสามารถสร้างเว็บหน้าตาแบบไหนให้เราได้บ้าง ลองดูธีมมากมายจาก Themeforest.net ที่มีธีมให้เลือกทำเว็บไซต์มากกว่า 6,000+ ธีม

ความแตกต่างระหว่าง WordPress.com และ WordPress.org

wordpress.com  นั้นก็เหมือนกับผู้บริการบล็อกฟรีทั่วไป เช่น Blogger ของ Google, Tumbr หรือแม้แต่ของไทยอย่าง Bloggang ของเว็บ Pantip โดย WordPress ก็จะให้บริการพื้นที่ฟรีสำหรับการเขียนบล็อก โดยก็จะมีรูปแบบของเว็บที่เรียกว่า ธีม ให้เราเลือกหน้าตาเว็บไซต์ และมีโดเมนให้พร้อม โดยเหมือนบล็อกทั่วไป ที่โดเมนเรานั้นก็จะมี .wordpress.com ต่อท้าย แต่คุณแทบจะไม่มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งมากนัก ถึงแม้จะเสียค่าบริการรายปี คุณอาจจะได้แค่ปรับแต่ง CSS และสีสันหรือตัวหนังสือในบางตำแหน่งเท่านั้น และจำนวนธีมที่คุณสามารถใช้ได้ก็ยังมีจำนวนจำกัด

   

wordpress.org โดยจะมีลักษณะเหมือนกับ WordPress.com แทบทุกประการ เพียงแต่ WordPress.org นี้ จะนำเอาตัวหลักที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อน  WordPress.com ออกมาให้เราดาวน์โหลดไปใช้งาน โดยเราจะต้องไปหาส่วนประกอบอื่นๆ เอง ทั้งพื้นที่ (โฮ้สต์) โดเมน ธีม และปลั๊กอิน แต่ข้อดีของมันก็คือ เราสามารถที่จะปรับแต่งได้แบบอิสระ ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปรับแต่งเอง ซึ่งเว็บของเราก็จะพยายามช่วยให้ผู้อ่านสามารถปรับแต่ง WordPress ได้โดยใช้โค้ดให้น้อยที่สุด ซึ่งแม้ว่าคุณจะไม่ได้ศึกษามาทางด้านโค้ดโปรแกรม คุณก็จะสามารถมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองสวยๆ ได้ง่ายๆ แน่นอน

   

    ดังนั้น หากคุณคิดว่าคุณไม่ต้องการที่จะปรับแต่งเพิ่มเติมเสริมความสามารถอื่นๆ ให้กับเว็บของคุณนอกไปจากการเขียนบทความ คุณก็สามารถเลือก WordPress.com ไว้เป็นบล็อกก็ได้ แต่หากคุณต้องการทำเว็บประเภทอื่นๆ ตามที่เราได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้ คุณจำเป็นที่จะต้องใช้ WordPress.org

ความแตกต่างระหว่าง WordPress.com และ WordPress.org

ค่าใช้จ่าย

ค่าใช้จ่าย

ตัว WordPress นั้นเป็น Open Source ซึ่งแปลว่าเปิดให้ทุกคนสามารถใช้งานได้ฟรี และก็ยังมีปลั๊กอินฟรี ธีมฟรี ให้เราเลือกใช้งานอีกหลายหมื่นธีม แต่สิ่งที่เราจะต้องเตรียมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ก็มีเช่นกัน

Hosting

Hosting

คือ พื้นที่สำหรับใช้ติดตั้งเซิฟเวอร์และเก็บไฟล์ของ WordPress ทั้งหมด Hosting นั้นมีหลายแบบ ทั้ง Share hosting, VPS hosting, Dedicate hosting หรือ Manage WordPress hosting โดยเฉพาะ แต่ละเซิฟเวอร์จะได้รับ IP Address ที่แตกต่างกัน เช่น124.220.17.192 เราสามารถเข้าถึงเว็บของผ่านทาง IP Address เหล่านั้นได้ สามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

Domain

Domain

เป็นบริการที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น โดยการใช้ชื่อเว็บแทนการใช้ IP Address ตามด้วย .com, .net และอื่นๆ อีกมากมาย โดเมนจะทำหน้าที่เชื่อมต่อกับ IP Address ของเรา ส่วนใหญ่ราคาหลักร้อยบาท

Premium Themes, Plugins

Premium Themes, Plugins

แม้ว่าจะมีธีมฟรีมากมาย แต่พรีเมี่ยมธีมนั้นมีฟังชั่นต่างๆ มากมายที่ช่วยให้เราทำงานได้สะดวกขึ้น และมีดีไซน์ที่สวยงาม ดังนั้นส่วนการลงทุนกับพรีเมี่ยมธีมก็ค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติและคุ้มค่า ราคาขึ้นอยู่กับแต่ละเจ้า ถูกแพงแตกต่างกัน สำหรับธีมนั้นมีราคาประมาณ 1,000 – 2,500 บาท ส่วนปลั๊กอินนั้นก็แล้วแต่ที่เราจำเป็น มีทั้งถูกและแพงต่างกันไป

ตลาดธีม Themeforest.net ตลาดปลั๊กอิน Codecanyon (ตลาด ออนไลน์เหล่านี้เป็นเพียงที่รวมนักพัฒนาเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ยังมีเว็บที่นักพัฒนาเป็นคนเปิดขายเองอีกเยอะแยะมากมาย ถ้าอยากค้นหาธีมหรือปลั๊กอินแนวไหน ลองใช้ google ค้นหาเลย แล้วจะพบแหล่งขายธีมและปลั๊กอินสวยๆ อีกเพียบ)

   

    รวมแล้ว หากคุณเร่ิมต้นที่การใช้ธีมฟรี ค่าใช้จ่ายที่เหลือก็จะเป็น Host, Domain ประมาณ 1,000 บาท (เริ่มต้นสำหรับเว็บขนาดเล็ก) แต่หากใช้ธีมพรีเมี่ยม ก็อาจจะเพิ่มเข้าไปอีก 1,000 – 2,000 บาท รวมแล้วก็ยังถูกกว่าการจ้างทำเว็บเป็นไหนๆ

สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ยากหรือง่ายแค่ไหน

สร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ยากหรือง่ายแค่ไหน

WordPress ถูกสร้างมาเพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด แต่แน่นอนว่าแต่ละคนมีความเร็วในการปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีต่างกัน และด้วย WordPress นั้นสร้างมาเพื่อรองรับเว็บหลายแบบ ดังนั้นมันก็จะมีการตั้งค่าต่างๆ พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเราติดตั้งปลั๊กอินมากขึ้นก็ยิ่งจะต้องตั้งค่ามากขึ้นด้วย (ถึงได้บอกว่า ถ้าเขียนบล็อกอย่างเดียว ไม่พร้อม ไม่อยากเรียนรู้ ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น ให้ไปใช้ WordPress.com แทน)

สำหรับการสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress นั้น นอกจากการจัดการข้อความต่างๆ แล้ว สิ่งที่จะทำให้เว็บของเราเป็นรูปเป็นร่างสวยงามนั้น พระเอกสำหรับงานนี้ก็คือ Theme นั่นเอง

 

    โดยธีมนั้นจะมีทั้งธีมเฉพาะด้าน ที่จะกำหนดตำแหน่งต่างๆ มาไว้เรียบร้อย ธีมแบบนี้ช่วยให้เราทำงานได้ง่าย การตั้งค่าไม่เยอะมาก แค่กำหนดข้อมูลว่าเราอยากจะให้อะไรไปโผล่ส่วนไหนบ้าง ธีมก็จะจัดการออกมาให้เราโดยไม่ต้องวุ่นวายกับการตั้งค่ายิบย่อยเยอะๆ มีหลายแนว ไม่ว่าจะแนว Magazine, Business, Blog, eCommerce เป็นต้น เว็บธีมต่างๆ มักจะแบ่งประเภทไว้ให้เราเรียบร้อยแล้ว แต่จริงๆ แล้วมันก็อยู่ที่จินตนาการของเราว่าจะประยุกต์เอาธีมไหนมาทำอะไร เพราะเราสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้อยู่แล้ว

 

    ส่วนธีมอีกแบบ เรียกว่าเป็น Page Builder คือธีมที่ประกอบไปด้วยโมดูลหรือชิ้นส่วนต่างๆ เยอะแยะมากมายให้เรานำมาประกอบกันเพื่อสร้างหน้าเว็บที่ต้องการเอง ธีมแบบนี้สามารถที่จะสร้างเว็บได้หลากหลายแนว อาจจะเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นธีมแนว Multipurpose ธีมแบบนี้เหมาะสำหรับการสร้างเว็บที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เพราะสามารถสร้างหน้าตาที่แตกต่าง ไม่ถูกกำหนดไว้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทุกส่วนที่นำมาประกอบกัน ก็ต้องตั้งค่าแต่ละส่วนด้วย เว็บที่เหมาะกับแนวนี้เช่น เว็บบริษัทหรือ Coporate เพราะแต่ละบริษัทก็จะมีข้อมูลที่แตกต่างกัน สำหรับแสดงผลงานหรือสำหรับนักออกแบบต้องการนำเสนอจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งธีมแนวนี้จะตอบโจทย์มากที่สุด เช่น Divi themeThe7AvadaX The ThemeTotal เป็นต้น

 

    เราสามารถเลือกธีมที่สวยงาม มีการจัดวาง รูปแบบ สีสัน ในแบบที่เราชอบ ที่เหลือก็จะเป็นการทำคอนเท้นของเราให้สวยงาม ก็จะทำให้เว็บของเราดูดีมีสไตล์ขึ้นมาได้ โดยแทบไม่ต้องรำ่เรียนมาทางด้านนี้โดยตรงก็ได้ หากแต่เราอาจจต้องตามเทรนและดูการออกแบบของเว็บที่สวยๆ ไว้เป็นแรงบันดาลใจมากๆ และรู้ว่าเราต้องการให้เว็บเราออกมาแบบไหน มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ก็จะทำให้เว็บไซต์ของเรานั้นโดดเด่นออกมาจากเว็บของคนอื่นได้

การเตรียมตัวก่อน เริ่มสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

การเตรียมตัวก่อน เริ่มสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress

     ก่อนที่เราจะสร้างเว็บไซต์ ด้วย WordPress ได้ เราต้องรู้จักคำว่า โดเมน และ เว็บโฮสติ้งก่อนครับ ซึ่งการที่เว็บไซต์ของเรา จะออนไลน์ได้ เราจะเป็นที่จะต้องมี โดเมน และ เว็บโฮสติ้งครับ วิธีการที่เราจะได้มาคือ เราต้องไปเช่ากับผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง แต่ก็ยังมีอีกวิธีนึง ถ้าเราต้องการลองเล่น WordPress ดูเราสามารถที่จะติดตั้ง WordPress บนเครื่องตัวเองก็ได้เช่นกัน

โดเมน คืออะไร ?

โดเมน คืออะไร ?

โดเมน เปรียบเสมือน ป้ายบอกทาง ชี้ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์นี้ เราเรียกว่าเว็บโฮสติ้งครับ มีลักษณะแบบนี้ครับ

mydomain.tld หรือ ชื่อโดเมน.นามสกุล

รูปแบบของโดเมนเนม

ซึ่ง tld ก็มีหลากหลาย ประเภท หรือเราจะเรียกว่า นามสกุล ก็ได้ ตัวอย่างเช่น

  • .com ใช้สำหรับ บริษัท ห้างร้านต่างๆ หรือ ตัวแทน Company นั่นเอง

  • .net ใช้กับองค์กร ที่เกี่ยวกับ Internet

  • .org ใช้กับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือ องค์กรการกุศล

แต่ในปัจจุบันนี้มี TLD เกิดขึ้นมากมายครับ เช่น .io, .me, .website, .solutions หรือแม้กระทั่ง .ninja ก็ยังมี เราสามารถจดทะเบียนได้หมด ขึ้นอยู่กับว่า เราอยากจะเอาไปใช้แบบไหน แต่ข้อแนะนำคือ เราพยายามหาจด .com ดีกว่า เพราะคนส่วนมาก ก็ยังคุ้นเคยกับ .com อยู่ดี

ดังนั้นถ้าเราจดโดเมนเอาไว้เป็นของเราแล้ว เราก็สามารถที่จะชี้ไปที่ เว็บโฮสติ้งไหนก็ได้ หรือ ย้ายไปยังเว็บโฮสติ้งไหนก็ได้เช่นกันครับ

เว็บโฮสติ้ง คืออะไร ?

เว็บโฮสติ้ง คืออะไร ?

         ถ้าพูดถึงเว็บโฮสติ้ง ลองนึกภาพ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องนึง ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต ตลอดเวลา เพื่อให้คน เข้าไปดูเว็บไซต์ได้ครับ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้ จะต้องรองรับการเรียกดูเว็บไซต์ จากหลายๆ คนทั่วโลกได้ครับ จึงจะเป็นเว็บโฮสติ้ง

เวลาเราเลือกเว็บโฮสติ้ง

สิ่งที่ควรพิจารณา คือ…

ระบบปฎิบัติการที่เว็บโฮสติ้งใช้     แนะนำให้เป็น Linux

เวอร์ชันของซอฟท์แวร์       แนะนำเป็น PHP 7.3+ MySQL 5.6+ หรือ Mariadb 10+

พื้นที่ใช้งาน                 3 GB ขึ้นไป น้อยกว่านี้ ติดตั้ง WordPress ไม่ได้

อัตราการรับส่งข้อมูล            อย่างน้อยกว่า 50 GB

ระบบหลังบ้านของ WordPress คือ อะไร ?

ระบบหลังบ้านของ WordPress คือ อะไร ?

ระบบหลังบ้านของ WordPress ก็คือ ระบบที่เราเอาไว้จัดการ ข้อมูลของเว็บไซต์ WordPress ซึ่งข้อมูลที่เราจัดการที่หลังบ้านนี้เอง จะทำการอัพเดทให้ คนอื่นๆ ที่มาเข้าเว็บไซต์ ระบบหน้าบ้าน ของเราได้เห็นข้อมูล แต่การที่เราจะเข้าไปจัดการได้ ตรงนี้ WordPress เขามี Security หรือ ระบบความปลอดภัย เราจึงต้องใช้ ชื่อผู้ใช้ และ รหัสผ่านของเราในการเข้าสู่ระบบ

รู้จัก และ ใช้งาน Block Editor ใน WordPress ว่า คืออะไร ?

รู้จัก และ ใช้งาน Block Editor ใน WordPress ว่า คืออะไร ?

         Block Editor ใน WordPress มีมาตั้งแต่ WordPress Version 5 ขึ้นไป มีความแตกต่างกับ WordPress Editor ตัวเก่า ที่เรียกว่า Classic Editor ค่อนข้างมาก แต่ถ้าลองใช้งานไปสักพัก เราจะรู้เลยว่า Block Editor ใช้งานง่ายกว่า Classic Editor และ ยังจัดรูปแบบได้เข้าที่เข้าทางกว่าครับ

ซึ่งการใช้งาน Block Editor ผมมี Video Series ที่อธิบายอย่างละเอียด เรียบร้อยแล้วครับ สามารถดูได้ผ่านช่องทางด้านล่างนี้เลยครับ

การตั้งค่าที่จำเป็น ใน WordPress

การตั้งค่าที่จำเป็น ใน WordPress

          ในระบบของ WordPress มีการตั้งค่าอยู่หลายหัวข้อที่เราจำเป็นต้องรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราแก้ไขการตั้งค่าบางตัว ไม่ถูกต้อง ก็มีโอกาสที่จะทำให้ WordPress ทำงานไม่ได้ ดังนั้น เราต้องทำความเข้าใจในส่วนนี้ให้ดี

ข้อควรระวังใน General Settings

           สองสิ่งที่ไม่ควรแก้ไข เด็ดขาดคือ WordPress Address (URL) และ Site Address (URL) เพราะ ถ้าเราแก้ไขลงไปแล้ว เว็บไซต์เราจะเข้าไม่ได้ทันที ตรงนี้ หลายคนเข้าใจผิดอย่างมากว่า แก้ตรงนี้คือการตั้งค่าหน้าแรกของ WordPress แต่จริงๆแล้ว มันไม่ใช่ครับ การตั้งค่าหน้าแรกใน WordPress เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงในหัวข้อถัดไปครับ

       จากความเป็นจริงครับ ถ้าในส่วนนี้ตั้งค่าไม่ถูกต้อง เวลา และ วันที่ ที่เราเห็น ในบทความจะคลาดเคลื่อนหมดครับ

       

        รูปแบบของวันที่ และ เวลาเราสามารถเลือกได้อิสระ ถ้าใครจะตั้งเอง ต้องใช้การตั้งค่าเวลา ที่ WordPress ใช้ในภาษา PHP มาช่วยครับ

การจัดหมวดหมู่บทความ ใน WordPress

การจัดหมวดหมู่บทความ ใน WordPress

       หมวดหมู่ ถ้าเป็น คำศัพท์ ของ WordPress เราเรียกว่า Categories เวลาที่เรา จะสร้างหมวดหมู่ หรือใช้งานหมวดหมู่ เราควรที่จะ วางแผนและออกแบบไว้ก่อน ว่าเว็บไซต์ของเรา จะประกอบไปด้วย หมวดหมู่อะไรบ้าง ไม่เช่นนั้น เว็บไซต์ของเรา ก็จะมีข้อมูล มากมาย ที่ไม่สามารถ จัดเป็นกลุ่มได้

         

         ประโยชน์ของหมวดหมู่ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ของเรา จะหาข้อมูล ที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เพราะเรา มีการจัดกลุ่ม ของข้อมูลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

วิธีการสร้างหมวดหมู่ ใน WordPress

วิธีการสร้างหมวดหมู่ ใน WordPress

       ให้เราเข้าไปที่ เมนู Posts แล้วไปที่ Categories จากนั้น เราก็จะเห็น หน้าจอ สำหรับสร้างหมวดหมู่ครับ

ขั้นตอน การสร้างหมวดหมู่ใน WordPress

        เริ่มจากการ ใส่ชื่อหมวดหมู่ แล้วก็ตั้งชื่อ Slug หรือว่า Link ในหมวดหมู่ครับ จากนั้นอย่าลืมที่จะใส่คำอธิบาย และ กด Add New Category เพื่อเพิ่มหมวดหมู่ครับ

วิธีการสร้างหมวดหมู่ย่อยใน WordPress

         ใน WordPress เราสามารถที่จะสร้างหมวดหมู่ย่อยได้ครับ โดยเราต้องสร้างหมวดหมู่ที่เป็นแม่ หรือ Parent ขึ้นมาก่อน เราถึงจะสร้างหมวดหมู่ย่อย หรือ หมวดหมู่ที่เป็นลูกได้ครับ

          โดยเริ่มจาก การตั้งชื่อหมวดหมู่ย่อย ตั้งค่า Slug และ ที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องเลือก Parent Category หรือ แม่ของมัน เพื่อให้หมวดหมู่ที่เรากำลังสร้างเป็นหมวดหมู่ย่อยของ Parent หรือ หมวดหมู่แม่ที่เราเลือก จากนั้น ก็ใส่คำอธิบาย และ กด Add New Category ได้เลยครับ เราก็จะสร้างหมวดหมู่ย่อยเรียบร้อยแล้วครับ

วิธีการใส่หมวดหมู่ เข้าไปในบทความ

       หลังจากที่เราสร้างหมวดหมู่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องจับบทความของเราเข้าไปอยู่ในหมวดหมู่ ให้เรียบร้อยครับ บทความของเราจึงจะถูกค้นหาได้จากหมวดหมู่ครับ

วิธีการใส่หมวดหมู่ เข้าไปในบทความ

        ให้เราเข้าไปแก้ไขบทความของเราก่อนครับ จากนั้น ตรง Sidebar ของ Block Editor เลือก Document Tab และ ไปเลือกที่ Categories จากนั้นกดเปิดกล่องออกมาครับ แล้วเราจะสามารถเลือกหมวดหมู่ ได้เลยครับ

เราสามารถเลือกหมวดหมู่ ได้มากกว่า 1 หมวดหมู่ ใน 1 บทความครับ เพราะว่า บางบทความของเรา อาจจะคาบเกี่ยวระหว่างหมวดหมู่ได้ เมื่อเรา เลือกหมวดหมู่ในบทความแล้ว บทความของเราก็จะแสดงในหมวดหมู่นั้นครับ

สำหรับคนที่ชอบ Version Video ผมมีวีดีโอ สอนเรื่องการสร้างหมวดหมู่ แต่เป็น Version ก่อนหน้านี้ ถ้ามีโอกาส ผมจะอัพเดทวีดีโอนี้อีกทีครับ

การนำหมวดหมู่ ไปใส่ Menu

           เราสามารถ ที่จะนำหมวดหมู่ ไปใส่เมนูได้ด้วยครับ เพื่อให้คนดูของเราคลิกเข้าไปใน หมวดหมู่ เพื่ออ่านบทความที่อยู่ในหมวดหมู่นั้นได้ครับ

การนำหมวดหมู่ ไปใส่ในเมนู

            ให้เราเริ่มจากการ ไปที่เมนู Appearance แล้วไปที่ Menus ครับ จากนั้น ให้เลือกเมนูที่เราต้องการแก้ไข แล้วเปิดกล่อง Categories ขึ้นมา จากนั้น เลือกไปที่ Tab View All ในกล่อง Categories ครับ เราจะเห็นว่ามีหมวดหมู่ให้เราเลือกตามที่เราสร้างไว้ ให้เรา เลือก หมวดหมู่ที่เราต้องการ นำไปใส่เมนู จากนั้น คลิก Add to Menu ได้เลย เสร็จแล้ว ก็อย่าลืม Save Menu ด้วยนะครับ

การใช้งาน Tag ใน WordPress

การใช้งาน Tag ใน WordPress

        Tag คือการเน้นคำสำคัญ ที่มีอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของเรา เปรียบเสมือน เวลาที่เราใช้ Hashtag บน Social Media ครับ แต่สำหรับบนเว็บไซต์แล้ว เราควรจะเน้น คำสำคัญที่อยู่บนหน้าเว็บไซต์ของเราจริงๆ เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้ เว็บไซต์ของเราครับ

วิธีการใส่ Tag ในบทความ

       ให้เราเข้าไป แก้ไขบทความของเราได้เลย จากนั้น ไปที่ Tab Document ของ Block Editor เปิดกล่องที่ ชื่อว่า Tag ขึ้นมา แล้วใส่คำที่ต้องการแล้วกด Enter ได้เลยครับ

รู้จักและใช้งาน Sidebar และ Widgets

           คำว่า Sidebar ใน WordPress เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า Widget Area หรือ พื้นที่สำหรับ ใส่ Widgets นั่นเอง และ ตัว Widget พูดตามตรงว่า ไม่มีคำแปลครับ แต่มัน คือ ชิ้นส่วน ที่เราสามารถนำใส่เข้าไปได้ใน Sidebar หรือ Widget Area ซึ่งต่อไปนี้ผมเรียกสั้นๆว่า Sidebar ก็แล้วกันครับ อย่า งง นะครับ

           

             ในสมัยก่อน Sidebar ชอบอยู่ตำแหน่ง ที่เป็นแถบด้านข้างของเว็บไซต์ จึงได้ชื่อว่า Sidebar ครับ แต่สำหรับธีมสมัยใหม่ Sidebar สามารถอยู่ได้ทุกที่ ตามที่คนเขียนธีมนั้นจะกำหนดครับ

               จากรูปเราจะเห็นว่า ในธีมนี้ มี Sidebar หรือว่า Widget Area อยู่ทางด้านขวามือของเนื้อหา แต่ที่จริงแล้ว ถ้าเราดูรูปถัดไป เราจะเห็นว่า ธีมนี้ มี Sidebar หรือ Widget Area อยู่อีกหลายกล่องเลยทีเดียว

                 หลังจากที่เราเข้า เมนู Appearance แล้วมาที่ Widgets แล้ว เราจะเห็นได้ว่า ธีมนี้ มีกล่องหลายกล่องเลยทีเดียว บางกล่องก็ยังว่างอยู่ เพราะเรายังไม่ได้ใส่ Widget ของเราลงไปนั่นเอง ส่วน Widget ที่ใส่ได้ จะอยู่ทางซ้ายมือของหน้าจอ เราสามารถใส่ Widget เข้าไปใสแต่ละกล่องได้เลย จะใส่ประเภท Widget เดียวกัน ซ้ำในกล่องเดียวกันก็ได้ วิธีการใส่ Widget มี 2 วิธีครับ

    

รู้จักและใช้งาน Sidebar และ Widgets
Widget ที่นักพัฒนาเว็บไซต์ใช้กันบ่อยๆ

Widget ที่นักพัฒนาเว็บไซต์ใช้กันบ่อยๆ

เราลองมาดูกันครับว่า Widget ที่นักพัฒนาใช้กันบ่อยๆ มีอะไรบ้าง แล้วแต่ละอันใช้ทำอะไรบ้างครับ

  1. Text เอาไว้ใส่ข้อความ อเนกประสงค์เลย อยากใส่ข้อความอะไรใส่ได้หมดครับ

  2. Image เอาไว้แสดงรูปภาพ อะไรก็ได้ แถมยังใส่ลิงค์ได้อีกด้วย ผมชอบเอามาใส่เป็นป้ายโฆษณาครับ

  3. Recent Posts เอาไว้แสดง บทความล่าสุดที่เราเขียนเอาไว้

  4. Categories เอาไว้แสดง หมวดหมู่ของบทความ ในระบบเรา

  5. Navigation Menu มามารถหยิบเมนูที่เราสร้างไว้ มาแสดงใน Widget ได้

  6. Search แสดงช่องการค้นหาใน Sidebar ของเรา

  7. Custom HTML ใส่ HTML เพื่อที่จะแสดงอะไรก็ได้ที่เราต้องการ เช่น Google Maps, กล่อง Facebook

สำหรับใครที่อยากดูวิธีการ ใส่ Widget แบบภาพเคลื่อนไหว ผมมีวีดีโอครับ

สอนวิธีติดตั้ง Theme บน WordPress

              ให้เราเข้าไปที่เมนู Appearance แล้วไปที่ Themes ครับ ที่หน้าจอนี้ จะแสดง Theme ที่เราติดตั้งอยู่ในระบบ WordPress ของเราทั้งหมด โดยธีมที่เรากำลังใช้งานอยู่ จะล้อมกรอบสีดำเอาไว้พร้อมกับเขียนว่า Active และ ถ้าเราต้องการเพิ่มธีมใหม่ ให้กด Add New ได้เลยครับ

 

                หลังจากที่เรา กดเพิ่มธีมแล้ว เราสามารถที่จะเลือกธีมยอดนิยม หรือ ค้นหาธีมที่เราต้องการได้ในช่องค้นหาครับ 

 

การเลือกธีม และการค้นหาธีม ใน WordPress

                 ถ้าธีมไหนเรามีการติดตั้งอยู่ในระบบอยู่แล้ว เจ้า WordPress จะแสดงแถบสีเขียว แล้วเขียนว่า Installed กำกับเอาไว้ครับ

การเลือกธีม และการค้นหาธีม ใน WordPress

                  ถ้าธีมไหนเรามีการติดตั้งอยู่ในระบบอยู่แล้ว เจ้า WordPress จะแสดงแถบสีเขียว แล้วเขียนว่า Installed กำกับเอาไว้ครับ

การเปิดใช้งานธีมหลังจากการติดตั้ง

                    หลังจากที่เราติดตั้งธีมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราจะเปิดใช้งานธีมเลย ให้เรากดที่ปุ่ม Activate ได้เลย WordPress ก็จะเปิดใช้งานธีมนี้ทันที

การสลับธีมใน WordPress

การสลับธีมใน WordPress

           ถ้าเราต้องการสลับธีม ที่เราเคยติดตั้งแล้ว ให้เราไปที่เมนู Appearance แล้วไปที่ Themes เช่นเคยครับ เราก็จะเจอกับธีมที่เราติดตั้งอยู่ในระบบของเราครับ จากนั้น ถ้าหากว่าเราจะสลับไปยังธีมไหน ให้เราเอาเมาส์ไปวางที่ธีมนั้น แล้วกดปุ่ม Activate ในธีมนั้น เราก็จะเป็นการสลับธีม WordPress แล้วครับ

การปรับแต่ง และ ตั้งค่าธีม ใน WordPress

การปรับแต่ง และ ตั้งค่าธีม ใน WordPress

            ในปัจจุบัน การปรับแต่งธีม ค่อนข้างจะเป็นมาตรฐานพอสมควรครับ วิธีการปรับแต่งธีมแต่ละธีม จะใกล้เคียงกัน แต่ตัวเลือกในการปรับแต่ง อาจจะแตกต่างกันไปตาม ที่คนเขียนธีมกำหนดไว้ครับ เรามาเริ่มปรับแต่งธีมกันเลยดีกว่าครับ

หน้าจอ WordPress Customizer

             ในภาพที่เห็นกรอบทางซ้ายมือ เราเรียกว่า ตัวปรับแต่งธีม หรือ Customizer ซึ่งจะมีหมวดหมู่ของการปรับแต่ง ว่าเราจะปรับแต่งอะไรได้บ้างครับ ซึ่งหมวดหมู่เหล่านี้ เราสามารถที่จะคลิกเข้าไปปรับแต่งได้

             นอกจากนั้น ยังมีปุ่ม เรียกดูเว็บจากอุปกรณ์ต่างๆ หรือที่เราเรียกว่า responsive view นั่นเอง

ส่วนทางด้านขวามือของ Customizer เราเรียกว่า Customizer Preview ครับ เราสามารถคลิกไปที่หน้าต่างๆ ของเว็บไซต์เราได้เลย ตรงนี้ที่ WordPress ให้เราคลิกได้ก็เพราะว่า เวลาที่เราปรับแต่ง เราจะได้เห็นไปด้วยว่า หน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของเราเปลี่ยนไปอย่างไร

        ตัวอย่างเช่นเราจะปรับเปลี่ย Site Identity ดูครับ

         ปรับแต่ง Site Identity ใน WordPress

             เมื่อเราทำการ พิมพ์ Site Title ลงไป เราก็จะพบว่า ทางด้านขวามือ ใน Customizer Preview ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย เมื่อเราแก้ไขได้อย่างที่เราต้องการแล้ว อย่าลืมกด Publish เพื่อเป็นการใช้สิ่งที่เรากำลังปรับแต่ง ด้วยครับ

             นอกจากนั้นเรายังสามารถที่จะดูได้ว่า เวลาที่เว็บของเราไปอยู่บนอุปกรณ์มือถือ หรือว่าแทบเบล็ตแล้ว หน้าตาจะเป็นอย่างไร โดยการกดปุ่ม Responsive Control ทางด้านล่างครับ กดแล้วก็จะได้แบบนี้ครับ

หลักการเลือกธีมใน WordPress

หลักการเลือกธีมใน WordPress

หลักที่เราควรพิจารณาเลยในการเลือกธีม ก็จะมีหัวข้อที่เราต้องพิจารณาดังนี้ครับ

  1. จำนวนคนที่ใช้ธีมที่เราเลือก มีเท่าไร ถ้ามีน้อยเกินไป เวลาที่เกิดปัญหา อาจจะได้รับการแก้ไขช้าครับ เพราะว่า มีผลกระทบต่อคนกลุ่มน้อยนั่นเอง

  2. อัพเดทครั้งล่าสุดเมื่อไร ถ้าธีมที่ไม่ค่อยอัพเดท เราก็จะไม่ค่อยพิจารณา นำมาใช้งานครับ เพราะว่าอาจจะใช้ไม่ได้ กับ WordPress รุ่นไหมก็ได้

  3. ตรงกับความต้องการของเราหรือไม่ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะถ้าไม่ตรงกับความต้องการของเราแล้ว เรานำมาใช้ก็จะเป็นการเสียเวลาเปล่าครับ

ในส่วนนี้ผมมีวีดีโอ ในเรื่องของการเลือกธีม มาให้รับชมครับ สามารถกดรับชมได้ในลิงค์ทางด้านล่างได้เลยครับ

Premium Theme ยอดนิยม ที่คนใช้กันใน WordPress

Premium Theme ยอดนิยม ที่คนใช้กันใน WordPress

              นอกจากธีม ที่เราสามารถหามาใช้ได้ฟรี ใน WordPress แล้ว ยังมีธีมที่ เราสามารถไปซื้อมาใช้ได้อีกด้วย ธีมประเภทนี้เราเรียกว่า Premium Theme ครับ ซึ่งส่วนมากเลย Premium Theme จะมีให้เราปรับแต่งลักษณะของเว็บไซต์ของเราได้มากกว่า ธีมที่แจกฟรีครับ เพราะว่า Developer หรือ นักพัฒนามีแรงมากกว่านั่นเองครับ

               Premium Theme ที่ผมพูดถึง จะมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ฮิตมาก ผมได้เขียนเป็นบทความเอาไว้แล้ว และมีวีดีโอประกอบอย่างละเอียด ด้านล่างนี้ครับ

bottom of page